ประวัติการสร้างวัดไชยวัฒนารามมีในพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ตรงกันว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงสถาปนาวัดนี้ใน พ.ศ. 2173 โดยสร้างขึ้นบริเวณที่เป็นนิวาสสถานของพระราชชนนี มีเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์อยุธยาที่เกี่ยวข้องกับการสถาปนาวัดนี้ช่วงที่มีการผลัดแผ่นดิน
กล่าวคือ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงดำรงตำแหน่งเป็นออกญากลาโหมสุริยวงศ์ เมื่อสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต ออกญากลาโหมเป็นประธานของเสนาอำมาตย์ทูลเชิญพระราชโอรสองค์โตในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเชษฐาธิราช ขณะมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา หลังจากนั้น 4 เดือนเศษ มารดาของออกญากลาโหมถึงแก่กรรม จัดการปลงศพ ณ วัดกุฏธาราม (อยู่บริเวณเดียวกับวัดไชยวัฒนาราม) เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างไปช่วยงานเป็นจำนวนมาก ข้าหลวงเดิมในสมเด็จพระเชษฐาธิราช กราบทูลว่าออกญากลาโหมซ่องสุมผู้คนอาจคิดก่อการกบฏ จึงมีรับสั่งให้ทหารไปจับกุมตัวออกญาฯ แต่ออกญากลาโหมสุริยวงศ์รู้ตัวก่อน จึงรวบรวมเหล่าขุนนางทำการยึดอำนาจได้สำเร็จ และจับกุมสมเด็จพระเชษฐาธิราชสำเร็จโทษตามโบราณราชประเพณี แต่ออกญากลาโหมสุริยวงศ์ไม่ยอมรับราชบัลลังก์ เหล่าขุนนางจึงสถาปนาสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ พระอนุชาสมเด็จพระเชษฐาธิราชซึ่งมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษาขึ้นครองราชย์ แต่เนื่องจากยังทรงพระเยาว์นักจึงมิได้ออกว่าราชการ ท้ายที่สุดเหล่าขุนนางจึงอันเชิญออกญากลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ต้นราชวงศ์ปราสาททอง พระองค์จึงโปรดให้สร้างวัดขึ้น ณ บริเวณที่เป็นนิวาสสถานเดิมของพระราชชนนี ให้สถาปนามหาธาตุเจดีย์ มีพระระเบียงรอบ และมุมพระระเบียงทำเป็นเมรุทิศ เมรุราย และพระอุโบสถ วิหาร การเปรียญ ทั้งสร้างกุฏิถวายพระสงฆ์เป็นอันมาก เสร็จแล้วพระราชทานนามว่า “วัดไชยวัฒนาราม” และถวายสถาปนาพระอชิตเถระ ราชาคณะฝ่ายอรัญวาสี (ข้อมูลจากหนังสือ “คู่มือนำชม ศิลปกรรมโบราณในอยุธยา” โดยศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์)
เรามาถึงที่นี่ประมาณ 13.00 น. จอดรถทางด้านหน้า ด้วยความดังของละคร บุพเพสันนิวาส ทำให้นักท่องเที่ยวมักแต่งตัวย้อนยุคมาถ่ายรูปกันที่วัดนี้ สามารถเช่าได้ที่บริเวณด้านหน้าของวัด จะมีร้านที่ให้บริการเช่าชุดอยู่เป็นจำนวนมาก
มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการสถาปนาวัดไชยวัฒนาราม คือ ประการแรก สร้างวัดนี้เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระราชชนนี ประการที่ 2 ลักษณะแผนผังวัดและรูปแบบเจดีย์ย้อนกลับไปเลียนแบบวัดในสมัยอยุธยาตอนต้นที่ใช้เจดีย์ทรงปรางค์เป็นประธานของวัดและมีระเบียงคดล้อมรอบที่สืบทอดมาจากวัฒนธรรมของเขมร มีเมรุทิศ เมรุรายที่อาจเกี่ยวข้องกับคติศูนย์กลางจักรวาลและความเป็นจักรพรรดิราชขอพระเจ้าปราสาททองด้วย (ข้อมูลจากหนังสือ “คู่มือนำชม ศิลปกรรมโบราณในอยุธยา” โดยศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์)
แม้ว่าวัดนี้จะย้อนกลับไปใช้รูปแบบของวัดในสมัยอยุธยาตอนต้น แต่รูปแบบของปรางค์กลับมีลักษณะที่พัฒนาไปจากอยุธยาตอนต้นมาก โดยเฉพาะปรางค์ประธานมีลักษณะใกล้เคียงกับปรางค์ประธานวัดวรเชษฐ์ กล่าวคือ มีชุดฐานบัวลูกฟัก 3 ชั้น
ส่วนสำคัญที่มีพัฒนาการแตกต่างจากปรางค์ในสมัยอยุธยาตอนต้น คือ ส่วนยอดที่เป็นเรือนชั้นซ้อนไม่ทำระบบเสาตั้งคานทับแล้ว แต่ใช้ระบบคอดล่างผายบน ไม่มีช่องวิมาน โดยส่วนช่องวิมานและบรรพแถลงก่อรวมเป็นส่วนเดียวกัน (ข้อมูลจากหนังสือ “คู่มือนำชม ศิลปกรรมโบราณในอยุธยา” โดยศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์)
ระเบียงคดและเมรุทิศ เมรุราย (เมรุมุม)
ระเบียงคดสร้างล้อมรอบเจดีย์ประธาน มีเมรุคืออาคารทรงประสาทประจำทิศทั้งสี่และประจำมุมทั้งสี่ ทั้งหมดมีรูปแบบเดียวกัน รอบระเบียงคดประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ที่สำคัญคือภายในเมรุทั้งหมดประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิที่มีขนาดใหญ่กว่าที่ระเบียงคด (ข้อมูลจากหนังสือ “คู่มือนำชม ศิลปกรรมโบราณในอยุธยา” โดยศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์)
พระพุทธรูปทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิ
พระพุทธรูปทุกองค์มีรูปแบบและขนาดเดียวกันทั้งหมด เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนและลงรักปิดทอง (พระพุทธรูปทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิ) ปางมารวิชัย ประทับนั่งเหนือฐานสิงห์ที่ประดับลวดลายสวยงาม
เพื่อให้การเดินเที่ยวชมวัดไชยวัฒนารามให้สนุกและได้รับความรู้ เจแนะนำหนังสือของอาจารย์ศักดิ์ชัยค่ะ เจเป็นแฟนคลับของอาจารย์ มีหนังสือของอาจารย์เกือบทุกเล่มค่ะ
The photographs may not be copied, reproduced, redistributed, manipulated, projected, used or altered in any way without the prior express written permission of Juth.Net