ในวันหยุด 1 วัน เราตัดสินใจกันว่าจะเที่ยวในกรุงเทพกัน อย่างที่ทุกคนทราบว่าในกรุงเทพนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มากมาย วันนี้เราเลือกที่จะมาเที่ยว ท่าปากคลองตลาด
ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค อยู่ติดกับตลาดยอดพิมาน ตลาดนี้ตั้งอยู่ใจกลาง ย่านการค้าของกรุงเทพมหานคร และเป็นตลาดขายส่งดอกไม้ดั้งเดิมเก่าแก่มากกว่า 50 ปี และใหญ่ที่สุดของไทย
ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค ตั้งอยู่เหนือคุ้งน้ำที่ไม่เพียงสวยที่สุด ของแม่น้ำเจ้าพระยา ยังใกล้กับสถานที่สำคัญๆ เช่น วัดอรุณราชวราราม พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทำคอมมูนิตี้ มอลล์ แห่งนี้ขึ้น
สถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมต่างประเทศในช่วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อให้กลมกลืนไปกับทัศนียภาพโดยรอบบริเวณนี้
การเดินทางมาที่นี่ ทำได้หลายทาง เพราะตั้งอยู่ใจกลางปากคลองตลาด และอยู่ตรงข้ามกับตลาดนัดสะพานพุทธฯ
- ทางเรือ สามารถนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา (ธงฟ้า ธงส้ม) ลงท่าปากคลองตลาด
- รถเมล์ ลงป้ายหน้าปากคลองตลาด สาย 7ก, สาย 9, สาย 42, สาย 82, ปอ.9 และ ปอ.82
- รถส่วนตัว จากราชดำเนินวิ่งเข้าถนนจักรเพชร ผ่าน รร.สวนกุหลาบ ตรงมาเบี่ยงซ้ายเพื่อลอดใต้สะพานพุทธฯ แล้วขับตรงมาเพื่อเข้ายอดพิมาน ริเวอร์วอล์คได้เลย
- BTS ลงสถานีตากสิน ต่อเรือด่วนเจ้าพระยาธงสีส้ม และสีฟ้า มาลงท่าปากคลองตลาด
สำหรับท่านใดที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็สามารถเลือกพักโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อสะดวกกับการเดินทางทางเรือได้นะคะ ถ้าให้แนะนำ เราเคยไปพักที่โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ (Chatrium Hotel Riverside Bangkok) วิวสวย ห้องสวย มีท่าเรืออีกด้วย (Chatrium Pier ท่าเรือชาเทรียม)
เราเดินทางมาจากพระประแดง ขับรถมาจอดที่นี่ แต่เนื่องจากอาคารจอดรถยังสร้างไม่เสร็จ จึงทำให้การนำรถยนต์ส่วนตัวมาที่นี่ จะยังไม่ค่อยสะดวกสบายนัก
แต่โชคดีที่เรามาถึงเช้าประมาณ 10.15 น. จึงมีที่จอดรถอยู่ ถ้ามาช้ากว่านี้ ก็คงจะไม่มีที่จอดรถแน่ๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่น่ารักมาก แนะนำให้จอดรถในที่ที่ไม่กีดขวางการก่อสร้าง และรถขนส่งสินค้าต่างๆ ปลอดภัยทีเดียว
กินอะไรเป็นอาหารเช้าดีนะ เช้าแบบนี้ยังไม่ค่อยมีร้านเปิดบริการเท่าไหร่
เดินไปเดินมา จนในที่สุดตูนก็ตัดสินใจทานมื้อแรกของเราที่ร้าน Appethaizing ที่ชั้น 1 (D4-102)
ร้านอาหารไทย ที่มีพนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส และต้อนรับเราอย่างดี คอยแนะนำรายการอาหารต่างๆ
เราสามารถเลือกนั่งด้านใน หรือจะนั่งด้านนอกได้ มีเมนูอาหารให้เลือกทานมากมาย ตูนเลือกสั่ง ข้าวผัดหมูเค็ม+ส้มตำ+ชามะนาว (เป็นเซต) 150 บาท, โรตี แกงเขียวหวานเนื้อ 110 บาท และขนมเบื้องออมทอง 120 บาท
ทุกอย่างอร่อยมาก รสชาติดี รวมแล้วราคา 395 บาท ร้านนี้เปิด 10.00 น. ปิด 20.30 น. จากนั้นเราก็ไปต่อขนมหวานที่ร้าน นายหัวโรตีชาชัก
เราสั่งโรตีกล้วย ช็อคโกแลต และก็ชานมเย็น
เราสองคนพร้อมที่จะออกเดินทางไปวัดโพธิ์แล้วค่ะ
เมื่อท้องอิ่ม เราก็พร้อมจะออกเดินทาง เราไปรอเรือธงส้มที่มุ่งหน้าไปท่าเตียน ฝนก็ตกปรอยๆ ตลอด
ในที่สุดเรือก็มาแล้ว คนยังไม่เยอะเท่าไหร่
นั่งเรือคนละ 14 บาท ใช้เวลาไม่นาน ป้ายเดียว เราก็มาถึงท่าเตียนกัน
มีชาวต่างประเทศมากมาย รอคอยเรือลำอื่นๆ
ในอดีตท่าเตียนเป็นท่าเรือที่คึกคักมาก ใครจะไปไหนก็ต้องมาขึ้นที่ท่าเตียน และยังมีเรื่องราวของยักษ์วัดแจ้ง และยักษ์วัดโพธิ์ต่อสู้กันที่ท่าเตียนอีกด้วย ใครสนใจลองไปกูเกิ้ลมาอ่านได้นะคะ
ในปัจจุบันที่ท่าเตียนจะเต็มไปด้วยของที่ระลึกสำหรับชาวต่างชาติ
เดินมาไม่กี่ก้าว ข้ามถนนไป ก็จะพบกับทางเข้าวัดโพธิ์ คนไทยเข้าฟรี ชาวต่างชาติเสียเงิน 100 บาท
วัดโพธิ์ หรือนามทางราชการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดโพธารามวัดเก่าที่เมืองบางกอกครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดหลวงข้างพระบรมมหาราชวัง และที่ใต้พระแท่นประดิษฐาน พระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย
อีกหนึ่งเสน่ห์ของวัดโพธิ์ รูปสลักหินจีนทั้งหลายที่ตั้งประดับตามซุ้มประตูและที่ต่างๆ มีทั้งสลักจากหินและปูนปั้น หากเราพินิจพิจารณารูปปั้นรูปสลักจีนแต่ละรูปแบบแล้ว ย่อมทำให้รู้จักและเข้าใจต่อการที่ช่างไทยขนเอาเครื่องอับเฉาที่ใช้เป็นอุปกรณ์ถ่วงเรือสำเภาตอนขากลับจากการพาณิชย์นาวีที่ประเทศจีน แล้วนำไปตั้งประดับอย่างมีศิลปะ ประยุกต์เอารูปปั้นเหล่านั้นตั้งประดับดูเข้ากันได้ไม่ขัดตา
เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อย เนื่องด้วยชาวต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม การแต่งกายบางคนจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับสถานที่นี้ ทำให้ต้องคอยเรียก ให้มาสวมเสื้อคลุม ถึงกระนั้นก็ยังมีเล็ดลอดไปได้บ้าง ตูนจึงไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ ให้ตามสุภาพสตรีชาวต่างชาติท่านหนึ่งมาสวมเสื้อคลุม เพราะด้านหน้าเรียบร้อยมาก ด้านหลังเปิดหมด
พระพุทธไสยาส หรือที่เรียกกันว่า พระนอนวัดโพธิ์ ประดิษฐานในพระวิหารพระพุทธไสยาสภายในเขตพุทธาวาส บริเวณมุมกำแพงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัด เป็นพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร และใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ
พระมหาเจดีย์ทั้งสี่องค์อยู่ในบริเวณกำแพงสีขาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แบบจีน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี มีตุ๊กตาหินจีนประตูละคู่ พระมหาเจดีย์แต่ละองค์เป็นเจดีย์ย่อไม้สิบสองเพิ่มมุมสูง 42 เมตร ประดับกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องเครื่องถ้วยลวดลายต่างๆ สังเกตได้ง่าย
ตุ๊กตาจีนแต่งกายแบบฝรั่ง เป็นรูปมาร์โคโปโล คือ ฝรั่งคนแรกที่เดินทางเข้าไปในประเทศจีน และเผยแพร่อารยธรรมตะวันตกให้แก่ชาวจีน มีอยู่ 4 คู่ เป็นภาพสะท้อนของช่างจีน มองเห็นฝรั่งสมัยล่าอาณานิคมเป็นคนดุร้าย ก่อสงครามชิงเอาบ้านเมืองอยู่เนืองๆ
พระประธานพระวิหารทิศตะวันตก มุขหน้า พระพุทธชินศรี หรือ พระนาคปรก พระประธานพระวิหารทิศตะวันตก เดิมเป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักสามศอกคืบสิบนิ้ว อัญเชิญมาจากเมืองลพบุรี ครั้นบูรณปฏิสังขรณ์แล้ว จึงประดิษฐานไว้เป็นพระประธานพระวิหารทิศตะวันตก และได้สร้างพญานาคแผลงฤทธิ์และต้นจิกไว้ด้านหลังพระประธานด้วย จึงเรียกว่า “พระนาคปรก”
พระระเบียงเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่สร้างล้อมรอบพระอุโบสถ มีอยู่ 2 ชั้น ทั้งสองชั้นเชื่อมต่อด้วยพระวิหารทิศอยู่รอบพระอุโบสถทั้งสี่ทิศ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญ และสร้างพระวิหารไว้ประจำที่ทิศ
สถูปหรือพระปรางค์ เป็นพุทธสถานที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุสิ่งของที่ควรบูชาไว้ภายใน มหาสถูปจึงเป็นสถูปองค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่มุมลานพระอุโบสถชั้นนอกทั้ง 4 ด้าน 4 องค์ พระปรางค์แบบนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “พระอัคฆีย์เจดีย์” บุด้วยหินอ่อนมีเทวรูป ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่หล่อด้วยดีบุกลงรักปิดทองประดับกระจกประจำทั้งสี่ทิศขององค์พระปรางค์
พระพุทธชินราช หรือ พระพุทธเจ้าเทศนาพระธรรมจักร พระประธานพระวิหารทิศใต้ เป็นพระพุทธรูปหน้าตักที่ศอกห้านิ้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญมาจากกรุงเก่า
ขณะที่กำลังเดินชมภายในบริเวณวัด ได้พบคุณพี่ท่านนี้กำลังวาดสีน้ำ ตูนเลยเข้าไปทักทายว่าวาดภาพได้สวยมาก ซึ่งคุณพี่ได้บอกว่ามาวาดเป็นประจำ พร้อมกับหยิบอีกผลงานหนึ่งมาให้เราได้ชม สวยงามมากเลย
จากนั้นเราสองคนจึงขึ้นเรือข้ามฟาก คนละ 3 บาท มายังวัดอรุณ
วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” ตามชื่อ ตำบลบางมะกอกซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด ภายหลังเปลี่ยนเป็น “วัดมะกอกนอก” watarun.org
เมื่อสมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราชม พระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรีจึงเสด็จกรีฑาทัพล่องลงมาทาง ชลมารคถึงหน้าวัดมะกอกนอกนี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกนอกเป็น “วัดแจ้ง” เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัดนี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมอีก แล้วทรงเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดอรุณราชวราราม” ดังที่เรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน
รูปยักษ์ยืน หน้าประตูซุ้มยอดมงกุฎมียักษ์ยืนอยู่ 2 ตน มือทั้งสองกุมกระบองยืนอยู่บนแท่นสูงประมาณ 3 วา ยักษ์ที่ยืนด้านเหนือ (ตัวขาว) คือ สหัสเดชะ ด้านใต้ (ตัวเขียว) คือ ทศกัณฐ์ ปั้นด้วยปูน ประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายรูปลักษณะและเครื่องแต่งตัว
พระปรางค์ยังคงได้รับการบูรณะอยู่
เมื่อตูนเริ่มจะเหนื่อย เพราะฝนที่ปรอย และความร้อนของอากาศ เราจึงข้ามฟากกลับไปอีกฝั่ง และนั่งเรือกลับ ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค
ตูนเลือกทานข้าวมื้อนี้ที่ร้าน ลาภลอย Larbloi ชั้น 2 (D3-201-201/1)
เราเลือกนั่งด้านในเย็นๆ
พนักงานที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกคน
อาหารที่สั่งจะมีดังนี้ ลาภลอย 180 บาท, ตำลาภลอย 180 บาท, แกงเห็ดรวม 150 บาท, คอหมูย่าง 150 บาท, ข้าวเหนียว 25 บาท
รวมค่าอาหารเครื่องดื่ม และ service charge 10% ทั้งหมดแล้ว เป็นเงิน 825 บาท คุ้มค่า คุ้มราคามาก
ได้เวลากลับบ้านแล้ว
ตอนนี้ได้เวลากลับบ้านแล้ว ถ้ากลับช้ากว่านี้ จะเป็นเวลารถติด ใครที่อยากทานข้าวในบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาแบบนี้ ลองมาเที่ยวที่ ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค กันนะคะ รับรองอาหารอร่อย บรรยากาศดี
ขอบพระคุณรีวิวน่ารักๆนี้ด้วยนะคะอ่านเสร็จ…ใครยังไม่มาเที่ยวยกมือขึ้นหรือใครอยากมาอีกยกสองมือเลยค่ะยกเสร็จ…มากันเลย วันนี้วันศุกร์หรรษาพรุ่งนี้ตื่นสายได้ไม่อายใครhttp://www.juth.net/?p=924
Posted by Yodpiman River Walk on Thursday, September 24, 2015
The photographs may not be copied, reproduced, redistributed, manipulated, projected, used or altered in any way without the prior express written permission of Juth.Net